สัมภาษณ์: ซูโหย่วเผิงกับเส้นทางชีวิตที่เลือกเอง

[Apr19,07] Interview: Su Youpeng Overthrows Unhappy Life Script





นักข่าว: ในขณะนี้คุณเป็นทูตของโครงการป้องกันโรคซึมเศร้าอยู่ ในก่อนหน้านี้คุณมีความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้มากน้อยแค่ไหน และมีโอกาสเกี่ยวข้องกับบุคคลที่อยู่ในภาวะซึมเศร้า รึเปล่า?

ซูโหย่วเผิง: ความจริงแล้วผมมีเพื่อนที่มีอาการซึมเศร้าอยู่หลายคนทีเดียว เมื่อหลายปีก่อนคุณอาจจะเคยได้ยินเรื่องที่ว่า ผมมีอาการใกล้เคียงที่จะตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าเหมือนกัน แต่นั่นก็เป็นเรื่องนานมาแล้ว ในขณะนี้จะพบว่ามีคนที่ลักษณะอาการเช่นนี้เป็นจำนวนไม่น้อย ซึ่งกว่า 3 ใน 10 คน ทีเดียวที่จะมีอาการเช่นนี้ และมีแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นคุณต้องระวังให้ดี ถึงแม้คนส่วนมากจะไม่มีอาการในระดับที่เรียกว่าภาวะโรคซึมเศร้า หรือสูญเสียการควบคุมตนเอง แต่ก็ทำให้คนเหล่านั้นพยายามปลีกตัวออกจากสังคม และดูแปลกแยกออกไป อีกทั้งความมีเสน่ห์ในตัวคุณจะลดลง นี่เองเป็นเหตุผลที่ทำให้มีโครงการนี้เกิดขึ้น เพื่อรณรงค์ให้คนมีทัศนคติในเชิงบวก รู้จักรักตนเอง และไม่คิดมากจนเกินไป

นักข่าว: Oh! ดูเหมือนว่าคุณจะมีความรู้ในเรื่องนี้ดีทีเดียว และในฐานะที่เป็นทูต คุณต้องทำหน้าที่อะไรบ้าง?

ซูโหย่วเผิง: ก็จะมีกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้คนหันมาสนใจสุขภาพกันมากขึ้น และมีการใช้ดนตรีบำบัดด้วย ซึ่งผมได้ไปอัดเสียงมา ผมหวังว่ามันจะช่วยให้ผู้ฟังรู้สึกมีความสุข ห่างไกลจากความรู้สึกซึมเศร้านั้น ผมคิดดนตรีสามารถทำให้คนมีความสุขขึ้นได้ และแน่นอนที่สุด ผมยังได้ร้องเพลงอีกเพลงหนึ่งซึ่งมีความหมายถึง การสร้างความสุขในตนเอง ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะประสบผลสำเร็จ เพราะมันจะทำให้ผู้คนได้รับสารที่เราต้องการถ่ายทอดออกไปโดยตรง

นักข่าว: อืม การใช้สื่อบันเทิงเพื่อลดความซึมเศร้าที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเรา ดูเป็นเรื่องที่ทำกันโดยทั่วไป... ในช่วงที่ผ่านมาคุณคงจะได้ยินข่าวที่นักแสดงชาวเกาหลีฆ่าตัวตายเพราะโรคซึมเศร้ากันมาก ในความคิดเห็นของคุณ นักแสดงได้รับความกดดันที่มากมายขนาดนั้นมาจากเหตุผลอะไร?
ซูโหย่วเผิง: สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผมรู้สึกเสียใจอย่างมาก ผมคิดว่านักแสดงเหล่านั้นได้รับแรงกดดันจากผู้ชม จากการแข่งขันอย่างหนักในการทำงาน การสูญเสียความเป็นส่วนตัว และความอดทนเพื่อที่จะเอาชนะความกดดันนั้น ที่มาจากข่าวลือต่างที่ปาปารัซซี่สร้างขึ้น หรือแม้แต่การถูกแอบถ่ายวีดีโอ ความเป็นส่วนตัวของคุณมีโอกาสถูกเปิดเผยต่อสาธารณะได้ทุกเวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะทำให้เกิดความยุ่งยากทีเดียว


นักข่าว: ในโลกของวงการบันเทิงดูจะวุ่นวาย และมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ว่าใครก็ตาม จะเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงหรือไม่ ต่างก็ได้รับความกดดันเช่นกัน ในฐานะที่คุณเป็นนักแสดงมานาน คุณมีวิธีรับมือกับความกดดันที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร ?

ซูโหย่วเผิง: ผมคิดว่าเรื่องทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของมัน เราควรให้ความสำคัญกับการกระทำ มากกว่าพิจารณาที่ผลลัพธ์ และโดยความเป็นจริงแล้วชีวิตของคนเราย่อมต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา




นักข่าว: ถ้าหากเปรียบชีวิต เป็นเหมือนกับบทภาพยนตร์ เคยไหมที่คุณได้กำหนดมันขึ้นมาจากแรงผลักดันของคุณ หรือ ถ้ามีโอกาสคุณจะเขียนมันอย่างไร?

ซูโหย่วเผิง: อืม...ในช่วงเป็นเด็ก ผมมักให้ความสำคัญกับความคิดของผู้อื่นเสมอ โดยไม่ปล่อยให้คนเหล่านั้นต้องผิดหวังในตัวผมแม้แต่เพียงนิดเดียว ตลอดมาผมจึงเป็นนักเรียนที่สมบูรณ์แบบ แต่บทบาทนั้นกลับทำให้ตกอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในสาขาวิศวกรรมเครื่องกล ทั้งๆ ที่ผมไม่ชอบมันแม้แต่น้อย แต่ผมก็พยายามบังคับตัวเอง และทำให้ดีตามแนวทางนั้น แต่แล้ววันหนึ่งกลับกลายเป็นว่า ผมไม่สามารถทนมันได้อีกต่อไป ท้ายที่สุดผมจึงตัดสินใจลาออก ถึงแม้ผลของมันทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น เพราะในช่วงเวลานั้นสังคมยังมีความคิดแบบเก่าอยู่มาก แต่ว่ามันก็ทำให้ผมรู้สึกว่า ตนเองได้รับการปลดปล่อย และเป็นอิสระดังนั้นชีวิตของคุณจึงไม่ได้อยู่ที่การทำให้ผู้อื่นพึงพอใจ จงฟังเสียงเรียกร้องจากตัวคุณ ah!

นักข่าว: ถ้าเช่นนั้นแสดงว่าคุณรู้สักไม่พอใจกับชีวิตที่ผ่านมา? จากการบอกเล่าดูคุณค่อนข้างจะกดดันกับมันมากทีเดียว

ซูโหย่วเผิง: ย้อนกลับไปตอนที่ผมเริ่มต้นทำงาน ในขณะนั้นผมอายุ 15 ปี ถ้าหากจะเปรียบเทียบคนเราเป็นต้นไม้ ระยะเวลา 15 ปี นับว่าเป็นช่วงเวลาของการเติบโต อยู่ในช่วงของการแตกขยายกิ่งก้านออกไปอย่างเสรี แต่ในทางกลับกันผมกลับได้รับการปฏิบัติที่ต้องอยู่ในกรอบตลอดเวลา ไม่สามารถทำอะไรได้อย่างที่ใจต้องการ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีเด็กคนไหนที่ไม่ต้องการเล่น หรือชอบการถูกบังคับ นั่นเป็นลักษณะโดยธรรมชาติที่มีมาแต่กำเนิดที่ควรได้รับการแสดงออกมา แต่ผมกลับไม่สามารถทำได้ ผมจึงมีความต้องการอยู่เสมอที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง


นักข่าว: หลังจากที่คนเปลี่ยนแปลงตนเอง ละทิ้งสิ่งที่คุณเป็นในอดีต มันทำให้คุณพบกับความสุขได้ง่ายขึ้นรึเปล่า?

ซูโหย่วเผิง: ผมไม่ใช่ เสี่ยวไกวไกว อย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ เมื่อคุณโตขึ้น คุณต้องซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของคุณเอง สิ่งรอบๆ ตัวซึ่งเมื่อก่อนคุณอาจจะไม่ชอบมัน และไม่สนใจที่จะยอมรับว่ามันมีอยู่ แต่วันหนึ่งเมื่อคุณโตขึ้นคุณจะค่อยๆ ยอมรับมัน และอยู่ร่วมกับมัน ยกตัวอย่างเช่น ผมเคยไม่ชอบหนังเรื่อง Closer แต่ตอนนี้ผมกลับเห็นว่าสิ่งที่ปรากฏในนั้นล้วนเป็นเรื่องจริง ความเห็นแก่ตัว ความอ่อนแอ ไร้หลักการ และไม่สามารถทนอยู่ภายใต้ความกดดันได้ ผมเคยปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ และไม่สามารถยอมรับสังคมสีเทาได้ ผมบอกกับตัวเองว่า “ไม่” ผมไม่มีทางเป็นแบบนี้ แต่ถ้าหากยอมรับมันได้ ผมคิดว่าคงจะมีความสุขกว่านี้ และมีความกดดันน้อยกว่า

นักข่าว: เช่นนั้นนักแสดงต้องทนอยู่ภายใต้ความกดดันมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป แล้วความสัมพันธ์ส่วนตัวของนักแสดงหล่ะ?

ซูโหย่วเผิง: สำหรับผมเห็นว่าเป็นเรื่องยากในการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน ผู้หญิงมักต้องการการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ผมไม่สามารถทำได้ ที่ผ่านมาผมเคยชอบผู้หญิงหลายคน แล้วแต่ละคนก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน (บอกให้เรารู้สัก 1 คนสิ) ตกลง หนึ่งในนั้นทำงานอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่ความสัมพันธ์ดำเนินไปอย่างไม่ราบรื่น เพราะว่าผมติดงานทำให้ไม่มีโอกาสได้พบกันบ่อยๆ เธอเป็นคนที่ดีทีเดียว (ในแต่ละคนที่คุณคบด้วยนานแค่ไหน) นานที่สุดก็ 2-3 ปี (ใกล้ชิดแค่ไหน?) ไม่ได้อยู่ด้วยกัน การอยู่ร่วมกันสำหรับผมมองว่าเป็นเรื่องยาก เพราะต้องปรับตัวเข้าหากัน มากกว่าที่จะเป็นตัวคุณเอง และคอยรักษาความสัมพันธ์ไม่ให้ห่าง หรือใกล้ชิดกันจนเกินไป ความรักไม่เป็นเรื่องง่ายเลย

นักข่าว: แล้วถ้าเป็นการเดินจูงมือกันกันหล่ะ ? ซินหยูเคยให้สัมภาษณ์ว่าเธอปรารถนาจะมีความรักที่สมบูรณ์ ได้เดินจูงมือกับคนที่เธอรัก

ซูโหย่วเผิง: ผมแตกต่างจากสิ่งที่เธอหวัง บางทีเป็นเพราะ ผมเคยชินกับการไม่เปิดเผยเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว ผมชอบแบบนี้มากกว่า (แล้วคุณจะสามารถออกไปเดินด้วยกันได้ยังไงหล่ะ?) ผมออกไปข้างนอกกับเพื่อนๆ หรือออกไปขับรถเล่นในตอนกลางคืน (คุณชอบขับรถกลางคืนยังงั้นหรือ?) คืนที่ผมอารมณ์ไม่ดี คุณคงจะทราบว่าไทเปเป็นเมืองเล็กๆ ผมขับรถกลางดึกจาก ภูเขา Yang Ming ถึง Tamsui (ชื่อหาด) ใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชม. เท่านั้น ผมไปที่นั่นบ่อยๆ เพื่อให้รู้สึกสดชื่นขึ้น 555 ดูสิผมเองก็มีอารมณ์แบบนั้นด้วยนะ



นักข่าว: “TrendsHealth” กำลังโปรโมท spririt of 3H ซึ่งเกี่ยวกับ Healthy (สุขภาพดี) , Happy (ความสุข) , High (ความทะเยอทะยาน) คุณมีมุมมองอย่างไรเกี่ยวกับ 3 สิ่งนี้ต่อการดำเนินชีวิต ?


ซูโหย่วเผิง: คนเราหากไม่มีสุขภาพที่ดี ย่อมทำให้ไม่มีความสุขไปด้วย...ส่วน High สำหรับผม เป็นมุมมองเกี่ยวกับการการทำงานที่ก้าวไปสู่จุดที่สูงยิ่งขึ้น... จริงไหม?(ยิ้ม และขยิบตา) ความจริงแล้ว สิ่งนี้สำหรับผมมีความสำคัญน้อยที่สุด เมื่อสองสามปีก่อนผมยังรู้สึกว่าการงานคือทั้งชีวิตของผม แต่ขณะนี้ความคิดของผมได้เปลี่ยนไปแล้ว งานอาจจะเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่หล่อเลี้ยงตัวเรา แต่มันไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต ผมพบว่าตนเองตกลงไปในหลุมพราง แล้วลืมหลายๆ สิ่งที่สำคัญของชีวิตไป เมื่อตอนปีใหม่ พบได้ดูหนังเรื่องหนึ่งกับแม่ผม มันเกี่ยวกับชายคนหนึ่งมีหน้าที่การงานใหญ่โต ยอมทำงานเพื่อแลกกับการสูญเสียสิ่งต่างๆ รอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูญเสียครอบครัว ต่อมาวันหนึ่งได้รับรีโมทซึ่งสามารถควบคุมเวลา ทำทุกอย่างตามที่เขาสั่งได้ จะเร่งไปข้างหน้าให้เร็วขึ้นเมื่อผ่านในช่วงเวลาที่น่าเบื่อ แม้กระทั่งข้ามช่วงเวลาที่ไม่อยากดู ชายคนนี้เลื่อนเวลาให้ผ่านไปเร็วยิ่งขึ้น แต่มาพบที่หลังว่ารีโมทนี้มีจะเมมโมรีเหตุการณ์ไว้ เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน รีโมทจะกดสารพัดปุ่นบนตัวเองโดยอัตโนมัติ การกระโดดข้ามช่วงเวลา เพื่อต้องการเร่งให้ผ่านไปข้างหน้าเร็วขึ้นจนกระทั่งสูญเสียหลายๆ สิ่ง ที่สำคัญในชีวิตไป เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ ทั้งตัวผมและแม่ ต่างมีความรู้สึกว่าพวกเราได้เคยผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้ว ทำให้ผมและแม่ร้องไห้ออกมาก

“ชีวิตไม่จำเป็นต้องอยู่เหนือใคร ขอแค่มีความสุขก็เพียงพอ”

นักข่าว: ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยบอกเราถึง 3 สิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข?

ซูโหย่วเผิง: ผมดำเนินชีวิตอย่างธรรมดา ไม่ได้มีสีสันอะไร แต่สิ่งแรกที่ให้ผมมีความสุข คือ การทำงานให้สำเร็จลุล่วง และได้เห็นความสำเร็จของงาน อย่างที่สอง การได้กลับไปเรียนอีกครั้งหนึ่ง ผมเรียนเกี่ยวกับอินเตอร์เนท และเรียนการทำ dreamweaver ซึ่งผลงานของผมเป็นที่สนใจของอาจารย์มาก และอย่างสุดท้าย คือมีเพื่อนและครอบครัวอยู่เคียงข้างผม



Source: lady.tom.com
View Full Magazine
1 2 3 4 5 6
Reference: AS
Fanclub's Opinion

1 comment:

Anonymous said...

you have a rapid server